|
|||||
ฝ้า กระ
ฝ้า กระ ปัญหา.........น่าหนักใจ
ฝ้า
ฝ้าเป็นแผ่นสีน้ำตาลที่เข้มกว่าสีผิวปกติ พบบ่อยบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก สันจมูกและเหนือริมฝีปาก
ฝ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร
ฝ้าเกิดเนื่องจากเซลล์สร้างสีเกิดความแปรปรวน และสร้างเม็ดสีขึ้นมากกว่าปกติ โดยมีสาเหตุจาก
- ฮอร์โมน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า เลือดลมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตั้งครรภ์ หรือสตรีที่ใช้ยาฮอร์โมนคุมกำเนิด
- แสงแดด จะมีรังสี UV ที่จะกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีมากขึ้น
ข้อควรปฏิบัติในการรักษาฝ้า
- ไม่ควรซื้อยาใช้เอง ควรใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การซื้อยาฝ้าใช้เอง หรือใช้ยาโดยไม่อยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เมื่อใช้ไปนานๆอาจเกิดผลข้างเคียง ซึ่งอาจทำให้รักษายากขึ้น หรือไม่หายได้
- การทายารักษาฝ้า ควรแต้มยาบางๆเฉพาะบริเวณที่เป็นฝ้าเท่านั้น และไม่ควรถูยาแรงเพราะจะทำให้ผิวช้ำ
- หลีกเลี่ยงการขัดถูและเช็ดหน้าแรงๆ ไม่ควรใช้สบู่ที่มีสารขัดผิว (Scrub) หรือโลชั่นเช็ดผิว (Toner) เพราะจะกระตุ้นการสร้างสี ทำให้ฝ้ามีสีเข้มขึ้น
- หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัด และใช้ยากันแดดเป็นประจำทุกวัน
- เพื่อการรักษาฝ้าให้หายเร็วขึ้น แพทย์อาจใช้การลอกฝ้า หรือการทำ AHA Treatment ตามความเหมาะสมของผิวแต่ละคน
- เมื่อฝ้าจางลง ไม่ควรหยุดยาทันที แพทย์จะปรับยาลดลงตามความเหมาะสมของผิวแต่ละคน ทั้งนี้การรักษาฝ้าต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
กระ
เป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆบนใบหน้า พบบ่อยบริเวณโหนกแก้ม จมูก สาเหตุสำคัญเกิดจากพันธุกรรม และแสงแดด
การรักษาทำได้ดังนี้
- การใช้ยาปรับสภาพผิว ลดการสร้างสี ร่วมกับการแต้มยาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การแต้มยาโดยผู้ไม่มีประสบการณ์จะทำให้เกิดรอยช้ำหรือดำมากขึ้น นอกจากนี้การทำ AHA Treatment เป็นประจำ จะช่วยให้กระจางลงและหน้าขาวใสขึ้น ซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามสมควร
- หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัด และใช้ยากันแดดเป็นประจำทุกวัน
- การใช้แสงเลเซอร์ใช้ในบางกรณี ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเป็นรายๆไป