ฝ้า กระ


  ฝ้า กระ ปัญหา.........น่าหนักใจ

 

ฝ้า

 

ฝ้าเป็นแผ่นสีน้ำตาลที่เข้มกว่าสีผิวปกติ พบบ่อยบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก สันจมูกและเหนือริมฝีปาก

 

 

ฝ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร

ฝ้าเกิดเนื่องจากเซลล์สร้างสีเกิดความแปรปรวน และสร้างเม็ดสีขึ้นมากกว่าปกติ โดยมีสาเหตุจาก

  1. ฮอร์โมน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า เลือดลมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตั้งครรภ์ หรือสตรีที่ใช้ยาฮอร์โมนคุมกำเนิด
  2. แสงแดด จะมีรังสี UV ที่จะกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีมากขึ้น

 

ข้อควรปฏิบัติในการรักษาฝ้า

  1. ไม่ควรซื้อยาใช้เอง ควรใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การซื้อยาฝ้าใช้เอง หรือใช้ยาโดยไม่อยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เมื่อใช้ไปนานๆอาจเกิดผลข้างเคียง ซึ่งอาจทำให้รักษายากขึ้น หรือไม่หายได้
  2. การทายารักษาฝ้า ควรแต้มยาบางๆเฉพาะบริเวณที่เป็นฝ้าเท่านั้น และไม่ควรถูยาแรงเพราะจะทำให้ผิวช้ำ
  3. หลีกเลี่ยงการขัดถูและเช็ดหน้าแรงๆ ไม่ควรใช้สบู่ที่มีสารขัดผิว (Scrub) หรือโลชั่นเช็ดผิว (Toner) เพราะจะกระตุ้นการสร้างสี ทำให้ฝ้ามีสีเข้มขึ้น
  4. หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัด และใช้ยากันแดดเป็นประจำทุกวัน
  5. เพื่อการรักษาฝ้าให้หายเร็วขึ้น แพทย์อาจใช้การลอกฝ้า หรือการทำ AHA Treatment ตามความเหมาะสมของผิวแต่ละคน
  6. เมื่อฝ้าจางลง ไม่ควรหยุดยาทันที แพทย์จะปรับยาลดลงตามความเหมาะสมของผิวแต่ละคน ทั้งนี้การรักษาฝ้าต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร

 

 

 

 

 

 

กระ

 

เป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆบนใบหน้า พบบ่อยบริเวณโหนกแก้ม จมูก สาเหตุสำคัญเกิดจากพันธุกรรม และแสงแดด

 

 

 

การรักษาทำได้ดังนี้

  1. การใช้ยาปรับสภาพผิว ลดการสร้างสี ร่วมกับการแต้มยาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การแต้มยาโดยผู้ไม่มีประสบการณ์จะทำให้เกิดรอยช้ำหรือดำมากขึ้น นอกจากนี้การทำ AHA Treatment เป็นประจำ จะช่วยให้กระจางลงและหน้าขาวใสขึ้น ซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามสมควร
  2. หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัด และใช้ยากันแดดเป็นประจำทุกวัน
  3. การใช้แสงเลเซอร์ใช้ในบางกรณี ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเป็นรายๆไป