Acne


 ไม่อยากเป็นสิว ต้องเข้าใจสิว

 

ต้องเข้าใจ ... สิวเกิดจากอะไร

 

สิวเกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันซึ่งมีลักษณะพิเศษคือ มีต่อมไขมันขนาดใหญ่ที่เปิเข้าสู่ท่อรูขุมขนที่มีขนาดเล็กและยาว เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจะมีการหลั่งฮอร์โมนเพศชายที่เรียกว่า “แอนโดรเจน (androgen)” ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้ต่อมไขมันขยายขนาดใหญ่ขึ้น และมีการแบ่งตัวเพิ่มเพื่อหลั่งสารไขมันที่เรียกว่า “ซีบั่ม (sebum)” ออกมา ในขณะเดียวกันเยื่อบุของท่อขุนขนก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่สามารถหลุดลอกไปได้จึงเกิดการอุดตันบริเวณทางออก โดยจะมีลักษณะคล้ายสิวเสี้ยนขนาดเล็กที่เรียกว่า “ไมโคมิโดน (microcomedone)” ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สิ่งแวดล้อมลักษณะนี้ช่วยให้เชื้อแบคทีเรียน “พีแอคเน่ (P.acnes)” เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก และหลั่งสารกระตุ้นการอักเสบหลายชนิด ก่อให้เกิดการอักเสบโดยรอบต่อมไขมันและรูขุมขน พบลักษณะทางคลินิกเป็นสิวอักเสบหรือตุ่มหนอง

 

       สิวอุดตัน (หัวขาว)

 

 

       สิวอุดตัน (หัวดำ)

 

       สิวอักเสบหัวหนอง

 

       สิวอักเสบรุนแรง

 

 

 

ต้องเข้าใจ... แนวทางรักษาสิว

 

1. การป้องกันการเกิดสิวในผู้ป่วยก่อนวัยรุ่น อายุ 10-12 ปี

หากเริ่มมีลักษณะของสิวเสี้ยนควรรีบทำการรักษาเพื่อป้องกันการเกิดสิวอักเสบ ผู้ป่วยระยะนี้ต้องการเพียงยาทาภายนอก 1-2 ชนิดเท่านั้น ซึ่งโดยมากจะเป็นยาทากลุ่มกรดวิตามินเอ ได้แก่ เตรทติโนอิน ครีม อะดาพาลีน เจล และยาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค เช่น บีพี เจล หรือยาทาปฏิชีวนะ เช่น อิริโทรมัยซิน เจล

 

 

2. การรักษาระยะสิวอักเสบ

จำเป็นต้องใช้ยาทาหลายชนิดร่วมกัน โดยในผู้ป่วยบางรายสิวอาจกำเริบขึ้นเล็กน้อย หลังการรักษาในระยะ 1-4 สัปดาห์แรกเนื่องจากตัวยาไปเร่งการผลัดเซลล์ผิว แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการสิวรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้ยารับประทาน หลังจากนั้นสิวจะดีขึ้นเรื่อยๆ โดยจำนวนหัวสิวจะลดลงประมาณ 10-12% ต่อเดือน ขึ้นกับความรุนแรงของสิว และวิธีการรักษา ระยะสิวอักเสบต้องการเวลารักษาประมาณ 4-6 เดือน

 

 

3. การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

มีความสำคัญมากเนื่องจาก การศึกษาทางการแพทย์พบว่า หลังหยุดการรักษาจะเริ่มมีไมโครโดมิโดนเกิดขึ้นทันที ดังนั้นผู้ป่วยสิวจึงมีความจำเป็นต้องใช้ยาทาภายนอกที่มีฤทธิ์ลดไมโครโคมิโดนและไม่ก่อให้เกิดเชื้อดื้อยาต่อเนื่องไปจนกว่าจะพ้นวัยที่เกิดสิว คืออายุมากกว่า 20-25 ปี โดยมากจะใช้ยาทากลุ่มกรดวิตามินเอ และการทายาเพื่อป้องกันสิวนี้ไม่จำเป็นต้องทาทุกวันเช่น 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็เพียงพอ แต่ต้องทาทั่วบริเวณที่มักเกิดสิวอย่างสม่ำเสมอ

 

ต้องเข้าใจ...วิธีเลือกและใช้ยารักษาสิว

 

ยารักษาสิวส่วนใหญ่จะออกฤทธิ์หลักที่กลไกหนึ่งของขบวนการเกิดสิวเท่านั้น เช่น ยาทาภายนอกกลุ่มวิตามินเอ ออกฤทธิ์หลักโดยลดการอุดตันของรูขุมขนทำให้เยื่อบุของรูขุมขนมีการหลุดลอกอย่างปกติ แต่ไม่มีผลในการลดจำนวนเชื้อแบคทีเรีย P. acnes จึงต้องมีการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย (Antimicrobia) ร่วมด้วยในการรักษาอาการสิว อย่างไรก้ดี ยารักษาสิวกลุ่มกรดวิตามินเอใหม่ เช่น อะดาทาลินเจล นอกจากจะมีฤทธิ์ในการลดการอุดตันหรือละลายโคมิโดน (Comedolytic) แล้วยังมีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบของหัวสิวอีกด้วย

 

ยารับประทานกลุ่มกรดวิตามินเอเป็นยาเพียงชนิดเดียวที่สามารถออกฤทธิ์ได้ในทุกกลไกของการเกิดสิว จึงจัดเป็นยารักษาสิวที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในกลุ่มแพทย์ผิวหนัง แต่เนื่อจากเป็นยารับประทานที่มีผลข้างเคียงสูงและรุนแรง เช่น อาการผิวหนังแห้ง ปากแห้งอย่างรุนแรงและอาจก่อให้เกิดความพิการต่อทารกในครรภ์ได้ ทำให้ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ในผู้ป่วยสิวส่วนใหญ่

 

การรักษาสิวในผู้ป่วยส่วนใหญ่ ปัจจุบันจึงนิยมใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน (combination therapy) โดยเลือกยาที่กลไกออกฤทธิ์หลักต่างกันจะได้ผลการรักษาที่ดีขึ้น

 

ต้องเข้าใจ...วิธีลดความระคายเคืองจากยาทาสิว

 

ยาสิวชนิดทาภายนอกส่วนมากมักทำให้เกิดการระคายเคือง แดงลอก ได้มากน้อยแตกต่างกันตามประเภทของยาและลักษณะเนื้อยาทา (Base) นั้นๆ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาทา และเพื่อให้การรักษาได้ผลดี ควรยาทาให้ถูกวิธีตามข้อแนะนำดังต่อไปนี้

1. เริ่มใช้ยาที่มีความเข้มข้นต่ำสุด และใช้ในปริมาณน้อยๆ ก่อน ยาทาประเภทครีมและเจลน้ำ (Water base gel) มักจะระคายน้อยกว่าเจลหรือโซลูชั่นที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์

2. ในช่วงแรกของการใช้ยาทา ควรยาทาทิ้งไว้เพียงระยะสั้นๆ เช่น 15-30 นาที แล้วล้างออก หากไม่พบปัญหาผิวแห้ง, แดง, คัน หรือ แสบ สามารถเพิ่มเวลาของการทายาทิ้งไว้ช้ำๆ จนสามารถทาทิ้งไว้ได้เลย

3. ยากลุ่มกรดวิตามินเอ ใช้ทาวันละครั้งในเวลาเย็นหรือก่อนนอน เนื่องจากยารักษาสิวกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ทำให้ผิวหนังไวต่อแสงแดด และควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด หรือใช้ครีมกันแดดทกเช้า ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้

4. เลือกใช้คลีนเซอร์ทำความสะอาดผิวที่ปราศจากสบู่ และอ่อนต่อผิว (Gentle skin cleanser) และใช้ครีมเพิ่มความชุ่มชื้น (Moisturizer) ที่ไม่ก่อให้เกิดสิว (Non-Comedogenic)

 

หากปฏิบัติตามขั้นตอน 1-4 แล้วยังเกิดอาการระคายเคืองก็ควรพิจารณาเลือกใช้ยาใหม่ที่มีการพัฒนามาเพื่อลดการระคายเคือง เช่นยากลุ่มกรดวิตามินเอที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้น (Emollient)

 

ต้องเข้าใจ ... วิธีล้างหน้า

 

ผู้ป่วยสิวส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าสิวเกิดจากความสกปรกและคราบมันบนผิวหนัง ทำให้พยายามล้างทำความสะอาดบ่อยครั้งด้วยสบู่ที่ขจัดความมันออกจากผิวหนังมากเกินไป มีผลให้เกิดการระคายผิว แห้ง ลอก กระตุ้นให้ผิวหนังอักเสบมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่เป็นสิว ควรล้างด้วยน้ำสะอาด หรือคลีนเซอร์ที่ไม่มีส่วนประกอบของสบู่ และมีค่าความเป็นกรด-ด่างใกล้เคียงกับผิวหนัง (pH Balance) วันละ 2 ครั้ง ก็เพียงพอ

 

เข้าใจแล้ว ... ดูแลผิวไม่เป็นสิว

 

 

โทรนัดรับคำปรึกษาได้ที่สาขา

 

ราม2 เอ็ม.ดี สหคลินิก โทร. 0-2397-7045

สำโรงคลินิก โทร 0-2394-4907, 0-2384-0974

ไม่อยากเป็นสิว ต้องเข้าใจสิว

 

 

 

ปรึกษาและตรวจสถาพผิวหนังฟรี

โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง